ธุรกิจฟาร์มไส้เดือน เริ่มต้นทุนเพียง 5,000 บาท ทำรายได้กว่า 30,000 บาทต่อเดือน อาศัยเพียงแรงงานหนึ่งคนและความตั้งใจ เจ้าของฟาร์มเผย เลี้ยงไม่ง่ายและหา9ลาดยาก หากไม่ทำครบวงจร ใช้สูตรอาหารสร้างมูลค่าเจาะตลาดผักอินทรีย์
‘ฟาร์มไส้เดือน’ อาจไม่ใช่แค่ฝันเล็กๆ ในสวนหลังบ้านสำหรับมนุษย์เงินเดือน หากเลี้ยงจริงจังทำรายได้หลักแสนต่อเดือน แต่ต้องสะสมองค์ความรู้เกี่ยวกับไส้เดือนและมีความตั้งใจสูง จึงจะประสบความสำเร็จได้ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งอาจล้มไม่เป็นท่า
แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการเกษตร เมื่อกล่าวถึงปุ๋ยมูลไส้เดือน โดยเฉพาะเกษตรอินทรีย์ที่ต้องใช้วัตถุดิบเพาะปลูกจากธรรมชาติทั้งหมด การใช้ปุ๋ยมูลสัตว์จึงเป็นทางเลือกหลักของเกษตรปลอดสารพิษ
ข้อมูลจากสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (ACFS) ระบุว่ามูลไส้เดือนดินมีจุลินทรีย์หลากหลายชนิดมากกว่าที่พบในปุ๋ยหมักธรรมดา นอกจากนั้น ยังมีรายงานการวิจัยพบสารฮอร์โมนสำคัญเพื่อการเจริญเติบโตของพืชในมูลไส้เดือนดินเพิ่มขึ้นจากเดิม ทำให้แน่ใจได้ว่าในมูลไส้เดือนดินมีสารต่างๆ คือ ฮิวมัส (Humus) ออกซิน (Auxins) ไคเนตินส์ (Kinetins) จิเบอเรลริล (Giberellin) และไซโตไคนิน (Cytokinin) เป็นตัวควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
ปัจจุบันวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มเข้าใจความสำคัญของสารอินทรีย์เหล่านี้ ว่า ทำหน้าที่ต่างๆ เช่น กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์พืช ทำให้รากรับอาหารไปใช้ การหันหน้าของดอกไม้เข้ารับแสงแดด ควบคุมความยาวของเซลล์ และแม้กระทั่งทำหน้าที่เป็นสารต้านการแก่ตัวของพืชไม่ให้เน่าเปื่อยเร็ว นอกจากนั้น ยังค้นพบว่ามีเอนไซม์ไคติเนส (Kitinase) ซึ่งสามารถละลายไคตินส์ สารชีวะเคมีชนิดหนึ่งที่ประกอบกันเป็นเปลือกชั้นนอกของแมลง ด้วยเหตุนี้มูลไส้เดือนดินจึงมีฤทธิ์ในการขับแมลง (Insect Repellent) อีกด้วย
สังเกตเพื่อสะสมองค์ความรู้
แรกเริ่มนั้นตนเองก็ประสบความล้มเหลวอย่างเช่นหลายคนที่เข้าวงการนี้เจอมา แต่กระนั้นหลังจากลองผิดลองถูก หมั่นสังเกต และสะสมองค์ความรู้ได้ระดับหนึ่ง จึงเข้าใจว่า ‘อาหาร’ และ ‘การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม’ นั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้ว่าไส้เดือนของเราจะรอดหรือไม่
โดยวิธีการเลี้ยงเริ่มจากเตรียมทำปุ๋ยหมักเพื่อเป็นที่อยู่และอาหารสำหรับไส้เดือน (Bedding) ใช้ส่วนผสม เช่น มูลวัว เศษเปลือกผักผลไม้ ฟาง ขี้เลื่อย ใบไม้ ขุยมะพร้าว นำมาคลุก แล้วหมักรวมกันประมาณ 1-2 เดือน ระหว่างนั้นให้รดน้ำพอชุ่มชื่น เมื่อได้แล้วใส่ปุ๋ยหมักลงในภาชนะที่จะเลี้ยงไม่ว่าจะเป็นกะละมัง บ่อซีเมนต์ และชั้นพลาสติก จากนั้นปล่อยไส้เดือนลงไป แล้วคอยให้อาหารไส้เดือนสม่ำเสมอ
ปัจจัยที่จะทำให้ไส้เดือนเจริญเติบโตดี ตัวโต ขยายพันธุ์รวดเร็ว รวมถึงได้มูลไส้เดือนที่จะไปทำปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพดี คือต้องให้ไส้เดือนกินอาหารที่มีคุณประโยชน์สูง
“ธรรมชาติของไส้เดือนจะกินซากพืชซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยแล้วเท่านั้น อาหารเลี้ยงไส้เดือนจึงต้องผ่านกระบวนการหมักเพื่อให้อาหารเน่าเปื่อยและลดค่าความเป็นกรด โดยปกติแล้วไส้เดือนจะกินอาหารทุกประเภท แต่อาหารที่ใช้เลี้ยงไส้เดือนได้ดีคือมูลวัวนม เพราะอุดมไปด้วยธาตุอาหารที่ไส้เดือนต้องการ การเตรียมอาหารเลี้ยงไส้เดือนเริ่มจากใช้มูลวัวนมหมักในกะละมังหรือบ่อซีเมนต์ รดน้ำให้ชุ่มและพลิกกลับไปกลับมาทุก 3-5 วัน นาน 60 วัน หลังเตรียมอาหารเสร็จให้ปล่อยตัวไส้เดือนพ่อแม่พันธุ์ลงในภาชนะที่ใช้เลี้ยง”
ในด้านการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับวงจรชีวิตของไส้เดือน ธีรวัฒน์ระบุว่าสิ่งที่แรกที่ต้องทำความเข้าใจคือ ธรรมชาติของไส้เดือนหายใจทางผิวหนัง โดยขับเมือกห่อหุ้มร่างกาย การเตรียมที่อยู่ให้ไส้เดือนจึงต้องคำนึงถึงความชื้น ไม่แห้งหรือชื้นเกินไปจนเปียก อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 20-30 องศาเซลเซียส หากมีอากาศที่เย็นจัดหรือร้อนเกินไป จะทำให้ไส้เดือนกินอาหารและขยายพันธุ์ได้น้อย สังเกตจากการใช้มือกำดินผสมอาหาร หากมีความชื้นที่ดี อาหารจะเป็นรูปทรงโดยไม่แตกหรือมีน้ำซึมออกมาก หากแห้งเกินไปเนื้ออาหารจะแตกร่วน ไส้เดือนจะหนี หรือหากแฉะเกินไปจะทำให้ผิวหนังไส้เดือนเน่าเปื่อยได้
นอกจากนี้ การจัดแสงให้เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของไส้เดือนเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ เพราะไส้เดือนไม่สามรถทนต่อความร้อนของแสงแดดได้และชอบอยู่อาศัยในที่มืด จึงควรเลี้ยงไส้เดือนในที่ร่ม ให้มีเพียงแสงส่องรำไร หรือใช้เศษใบไม้คลุมผิวดินเพื่อพรางแสง
หลังปล่อยไส้เดือนลงภาชนะเลี้ยง ประมาณ 30 วัน ไส้เดือนจะเริ่มเปลี่ยนอาหารเป็นมูลและเริ่มเกิดตัวอ่อนขึ้นใหม่ ตรงนี้เป็นขั้นตอนการคัดแยกตัวไส้เดือนพ่อ-แม่พันธุ์ ตัวอ่อน ไข่ และมูลไส้เดือนออกจากกัน เริ่มจากคัดพ่อแม่พันธุ์ไส้เดือนย้ายไปลงภาชนะใหม่ที่เตรียมอาหารไว้ จากนั้นให้นำตระแกรงความถี่ขนาด 3 มิลลิเมตรร่อนดินออกเพื่อคัดแยกอาหารที่ไส้เดือนกินไม่หมดหรือเรียกว่ากากอาหาร หลังจากแยกกากอาหารออก จะได้มูลไส้เดือนที่มีไข่ไส้เดือนปนอยู่ แยกไข่ไส้เดือนออกจากมูลด้วยการร่อนอีกครั้งโดยใช้ตระแกรงขนาด 1มิลลิเมตร จะได้มูลไส้เดือนพร้อมใช้ ส่วนดินปนไข่ไส้เดือนให้นำไปรวมกับกากอาหารที่เหลือจากการคัดแยกครั้งแรกเพื่อรอฟัก ในเวลา 2 สัปดาห์ ส่วนลูกไส้เดือนใช้เวลาเลี้ยงต่อไปก็จะได้ผลผลิตทั้งมูลไส้เดือนทำปุ๋ยอินทรีย์ ขณะที่ตัวอ่อนก็จะมีออกใหม่เรื่อยๆ ทุกสัปดาห์ โดยตัวที่โตก็จะแยกออกไปเป็นพ่อแม่พันธุ์เพื่อลงภาชนะใหม่ต่อๆ กันไป
รายได้ขึ้นอยู่กับความจริงจังในการเลี้ยง
สำหรับเรื่องตลาดมูลไส้เดือน ปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยม เกิดผู้ผลิตขึ้นใหม่หลายราย จากเดิมที่ราคาปลีก กิโลละ 70-80 บาท ลดลงมาเหลือกิโลกรัมละ 35-50 บาท ผู้ผลิตแต่ละรายจึงต้องเพิ่มมูลค่าผลผลิตของตัวเอง อาทิ การคิดสูตรอาหารเลี้ยงไส้เดือนที่โดดเด่นและตรงความต้องการของตลาด เป็นต้นว่า หากต้องการตีตลาดผักก็จะใช้สูตรอาหารที่มีไนโตรเจนสูง เช่น ใส่กากถั่วเหลืองผสมกับอาหารเลี้ยง เป็นต้น หรือการผลิตน้ำหมักมูลไส้เดือน ใช้เป็นธาตุอาหารชนิดน้ำ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดสินค้าปลอดสารพิษ ปัจจุบันจำหน่ายราคาปลีกลิตรละ 150 บาท
สำหรับฟาร์มขนาดเล็กอย่างฟาร์ม ใช้แรงงานเพียงคนเดียว ยอดขายเฉพาะมูลไส้เดือนอย่างเดียว อยู่ที่เดือนละ 20,000–30,000 บาท ส่วนการขายตัวไส้เดือนก็สามารถขายได้ถึงกิโลกรัมละ 500–800 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากเป็นฟาร์มครบวงจรขนาดใหญ่ มีผลิตภัณฑ์ครบวงจร อาทิ มูลไส้เดือน ตัวไส้เดือน น้ำหมักชีวภาพจากไส้เดือน ก็สามารถสร้างรายได้หลักแสนต่อเดือนได้
(ไม่จริงหรอกครับ ขายได้เดือนละ 2 ตัน ก็ถือว่าเยอะแล้ว ปัจจุบันราคาส่งอยู่ที่ โลละ 8 บาท ใครโง่ก็ไป….)
ทั้งนี้ หากจะเลี้ยงไส้เดือนอย่างจิรงจัง ผู้เลี้ยงจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เลี้ยงไส้เดือนเพื่อวัตถุประสงค์อะไร จะเลี้ยงเพื่อเป็นอาชีพหลัก หรือเลี้ยงเพื่อเป็นงานอดิเรกหารายได้เสริม หรือเลี้ยงเพื่อต่อยอดจากธุรกิจเดิม เช่น อาชีพเกี่ยวกับการจัดสวนหรือเกษตรกรรมอื่นๆ เพราะประสบการณ์จากผู้ที่เคยล้มเหลวมาแล้วพบว่า การวางเป้าหมายที่ผิดพลาด การไม่พยายามหาตลาด และการดูแลเอาใจใส่ไส้เดือนที่ไม่ดีพอ ทำให้ผู้ที่ริจะทำฟาร์มไส้เดือนไปไม่ถึงฝั่งฝันมาหลายรายแล้ว
Speak Your Mind